ทุ สะ นะ โส พระคาถาหัวใจเปรต

พระคาถาสี่คำที่เกิดจากเปรตทั้งสี่ตน ใช้สวดเพื่อข่มขู่ไล่วิญญาณที่ชั่วร้ายที่เข้าสิ่งร่างเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

เปรตทุสะนะโสนี้ เคยส่งเสียงร้องกลางดึก ได้ยินไปถึงพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ จนทรงตกพระทัย นำความไปเล่าให้พระพุทธองค์ทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า นั่นเป็นเสียงเปรตที่เคยเป็นพระญาติของพระองค์ มาขอส่วนบุญ เพราะฉะนั้นขอให้พระองค์กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลไปให้พวกเขาเสีย พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงทำตามพระพุทธองค์ทรงแนะนำ ธรรมเนียมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย จึงมีขึ้นด้วยประการฉะนี้

สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเปรตทุสะนะโสนั้น เป็นเพราะเสียงร้องของพวกเขา ตัวแรกต้องการพูดความในใจตั้งยาว แต่พูดได้แค่คำแรก ก็ถูกดูดจมดิ่งลงสู่ขุมนรก

โดยเปรตตนแรกกล่าวคำว่า ทุ ก็ถูกแรงดึงดูดจากขุมนรกดูดจมดิ่งลงไปทันที ตนที่สองพูดได้เสียงคำ สะ ตนที่สามพูดได้แค่ว่า นะ ตนที่สี่พูดได้แค่ โส ก็จมดิ่งลงสู่ก้นขุมนรกทันที

พอได้ยินเสียงพูดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน “ทุ-สะ-นะ-โส” จึงก้องกังวานไปกระทบโสตประสาทของพระเจ้าพิมพิสารรวมถึง พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาผู้ครองแคว้นโกศล ก็ทรงได้ยินครั้งหนึ่ง ทำให้พระองค์ตกพระทัยมาก จนพระนางมัลลิกาเทวีแนะนำให้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระเจ้าปเสนทิโกศล รีบเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามคำกราบบังคมทูลของพระนางมัลลิกาเทวี

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พระองค์ฟัง ทรงชี้แจงถึงบาปบุญคุณโทษให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบ แล้วตรัสว่าเสียง “ทุ-สะ-นะ-โส” ที่ทรงได้ยินนั้นมิใช่ลางร้ายอะไร แต่เป็นเสียงของสัตว์นรกที่ต้องการสารภาพบาปที่ตนทำ แล้วทรงเล่าว่า

ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีบุตรเศรษฐี 4 คนเป็นเพื่อนสนิทกัน กินด้วยกันเที่ยวด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งเสนอว่า พวกเราก็มีเงินมีทองใช้จนตายก็ไม่หมด เราน่าจะเสพสุขให้เต็มที่ สุขที่น่าตื่นเต้น เมื่อเพื่อนๆ ถามว่าสุขที่น่าตื่นเต้นน่ะอะไร เพื่อนคนต้นคิดกล่าวว่า “ก็เป็นชู้กับเมียเขาสิ ตื่นเต้นดี” ภรรยาคนอื่นที่สวยๆ

อีก 3 คนที่เหลือเห็นดีเห็นงามด้วย จากนั้นมาบุตรเศรษฐีเพลย์บอยทั้ง 4 ก็เที่ยวจีบเมียชาวบ้าน เอาเงินหว่าน อย่างว่า “แข็งดังหิน เงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์” ภรรยาสาวของใครต่อใครตกเป็นเมียบำรุงบำเรอความสุขของเจ้า 4 คนนั้นมากมาย ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะอำนาจเงินและอิทธิพลบารมีของพ่อของพวกเขา

เมื่อพวกเขาตายไปไปเกิดในนรก เสวยผลกรรมอยู่เป็นเวลาไม่รู้กี่กัปต่อกี่กัป จนกระทั่งถึงสมัยพุทธกาลนี้ สัตว์นรก 4 ตัวนี้ รู้สึกสำนึกในบาปกรรมที่ตนทำ อยากจะประกาศว่า ต่อไปนี้ถ้าได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีก จะเลิกทำชั่วเด็ดขาด จะทำแต่ความดี แต่ไม่มีเวลาได้พูดตามต้องการ พูดออกมาได้เฉพาะคำต้น

เปรตตัวแรกต้องการพูดว่า
ทุชชีวิตะชีวิมหา เยสันโน นะทะทามหะเส
วิชชะมาเนสุ โภเคสุ ทีปัง นากัมหะ อัตตะโน
เมื่อยังเป็นมนุษย์มีโภคทรัพย์มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทาน ไม่ทำที่พึ่งแก่ตัว ทำแต่ความชั่วช้าสารเลว

ตัวที่สองต้องการพูดว่า
สัฏฐี วัสสะหัสสานิ ปะริปุณณานิ สัพพะโส
นิระเย ปัจจะมา-นานัง กะทา อันโต ภะวิสะติ
เราตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหกหมื่นปีแล้ว เมื่อไรจะสิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที

ตัวที่สามต้องการพูดว่า
นัตถิ อันโต กุโต อันโต นะอันโต ปะฏิทิสะติ
ตะทาหิ ปะกะตัง ปาปัง มะมะ ตุยหัญจะ มาริสา
ไม่มีที่สุดสิ้นดอก เมื่อไหร่เล่ามันจะสิ้นเวรสิ้นกรรม ก็พวกเราทำแต่ความชั่วช้าสารเลวนี่ เพื่อนเอ๋ย

ตัวที่สี่ต้องการพูดว่า
โสหัง นูนะ อิโต คันตวา โยนิง ลัทธานะ มานุสิง
วะทัญญู สีละสัมปันโน กาหามิ กุสะลัง พะหุง
ถ้าเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เราจะให้ทานรักษาศีล จะทำบุญกุศลเป็นอันมาก

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับพระพุทธเจ้าตรัสจบลง ก็รำพึงในใจว่า เกือบจะได้ไปเกิดเป็นเปรต เสียแล้ว