มหาอุจจ์ คือ ตำแหน่งดาวมาตรฐาน สูงส่ง ต้องสั่งสมบุญ มาหลายชาติภพ จนเป็นบารมี แล้วได้ตำแหน่งดาวมหาอุจจ์ ในดวงชะตา
คำว่า อุจจ์ มีความหมายว่าสูง ดังนั้นดวงชาตาใดมีดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีอันเป็นตำแหน่งอุจจ์ของดวงดาวนั้น จัดว่าดวงชาตานั้นประเสริฐยิ่ง โดยตำแหน่งอุจจ์ นั้น ให้คุณมากกว่าดาวพระเคราะห์ที่เป็นเกษตร และให้คุณผาดโผนกว่าปกติธรรมดา
ดวงชาตาใดได้อุจจ์ ๑ ตัว จะตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิประพฤติการกุศล
ได้อุจจ์ ๒ ตัว จะเป็นปราชญ์ รู้อรรถธรรมมาก
ได้อุจจ์ ๓ ตัว จะได้เป็นอำมาตย์
ได้อุจจ์ ๔ ตัว จะได้เป็นกษัตริย์
ได้อุจจ์ ๕ ตัว จะได้เป็นจักรพรรดิราช
ได้อุจจ์ ๖ ตัว จะได้เป็นพระอรหันต์ ได้อุจจ์
๗ ตัว จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ได้อุจจ์ ๘ ตัว จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งอุจจ์ทั้ง ๘ ตัวนั้น จะเป็นได้ก็แต่ในตำราขับพระเคราะห์เข้าอุจจ์ โดยธรรมดาแล้วจะเป็นไปไม่ได้
[hide]
มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งอุจจ์ไว้ดังนี้
อาทิตย์ เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีเมษ จะมีสมบัติมาก มีปัญญาอุดมกว่าญาติทั้งปวง มีความสุขมาก
จันทร์ เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีพฤษภ จะมีความสุข มีหิรัญสุวรรณสาร เป็นอันมาก จะไปในที่ใด ย่อมมีสง่างามในท่ามกลางบริษัท ชนทั้งหลายจะบูชา จะได้เป็นเสนาบดีมีชื่อเสียง
อังคาร เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีมังกร จะมีโภคสมบัติ และบริวาร ช้าง ม้า โค กระบือมาก จะมีบุตรยากมาก จะไปในทิศทางต่าง ๆ ย่อมมีลาภทุกเมื่อ
พุธ เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีกันย์ จะมีความเจริญด้วยความสุข ได้ทรัพย์สินเงินทอง แก้วแหวน และชนะข้าศึกทั้งปวง
พฤหัสบดี เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีกรกฎ จะมีทรัพย์มียวดยานพาหนะ ช้าง ม้า และธัญญาหารมาก มีปัญญาแกล้วกล้ายิ่งนัก
ศุกร์ เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีมีน จะได้เป็นอำมาตย์ มีรูปอันงามอุดม เป็นที่รักแก่มหาชนทั่วไป
เสาร์ เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีตุลย์ จะมีปัญญามีพลพาหนะ และความเพียรมาก แต่จะดุร้ายไม่ละอายบาป จะมีโรคน้อย ทุกข์โทษภัยไม่มี
ราหู เป็นอุจจ์ อยู่ในราศีพิจิก จะมีโภคทรัพย์ มีความโกรธน้อย มีจิตเป็นกุศลมาก จะไปในที่ใด ๆ ย่อมไปด้วยยานพาหนะ มีช้าง ม้าต่าง ๆ ทุกข์โทษภัยไม่มี
ดวงชาตาใดมีอุจจ์หลายตัว ท่านว่าเป็นคนเข้มแข็ง ใจคอแข็งแกร่งไม่ยอมลงใครง่าย ๆ ไม่เกรงกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ มุ่งแต่ความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ท่านสรรเสริญว่าดวงชาตาที่มีพระเคราะห์ ได้ตำแหน่งอุจจ์ว่าเป็นดวงดี มีความสมบุรณ์พูนสุขกว่าตระกูล
มีคำทำนายดวงชาตาที่ได้ตำแหน่งอุจจ์หลายตัวไว้ดังนี้
ดวงชาตาใดได้อุจจ์ ๑ ตัว จะตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิประพฤติการกุศล
ได้อุจจ์ ๒ ตัว จะเป็นปราชญ์ รู้อรรถธรรมมาก
ได้อุจจ์ ๓ ตัว จะได้เป็นอำมาตย์
ได้อุจจ์ ๔ ตัว จะได้เป็นกษัตริย์
ได้อุจจ์ ๕ ตัว จะได้เป็นจักรพรรดิราช
ได้อุจจ์ ๖ ตัว จะได้เป็นพระอรหันต์
ได้อุจจ์ ๗ ตัว จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ได้อุจจ์ ๘ ตัว จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
[/hide]
สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งอุจจ์ทั้ง ๘ ตัวนั้น จะเป็นได้ก็แต่ในตำราขับพระเคราะห์เข้าอุจจ์ โดยธรรมดาแล้วจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากดาวอาทิตย์ ดาวพุธ และดาวศุกร์ ที่อยู่ใกล้กันมาก จึงเป็นการยากที่จะทำให้ดาวพระเคราะห์ทั้ง 8 ดวงจะได้ตำแหน่งอุจจ์ทุกตัว
ตำราขับพระเคราะห์เข้าอุจจ์
ในปฏิทินโหราศาสตร์ไทยโดยทั่วไป จะพบว่า ดาวอาทิตย์ ดาวพุธ และดาวศุกร์ จะอยู่ใกล้กันมาก ๆ การเคลื่อนที่ของดาวพุธและดาวศุกร์นั้นมีรัศมีที่แคบ โดยเฉพาะดาวพุธที่มีระยะห่างจากดาวอาทิตย์ไม่เกิน ๒๘ องศา หรือไม่เกินหนึ่งราศี ส่วนดาวศุกร์และดาวอาทิตย์ระยะห่างกันก็ไม่เกิน ๔๘ องศา หรือไม่เกินสองราศี เช่นเดียวกัน (หนึ่งราศีเท่ากับ ๓๐ องศา) ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะให้ดวงชะตาใดก็ตามที่ผูกตามปฏิทินโหรแล้วดาวพระเคราะห์ทั้ง ๘ ดวง นั้น ครองในราศีอุจจ์ทุก ๆ ตำแหน่ง
บูรพาจารย์จึงมีการขับดวงอุจจ์ จากดวงชะตาเดิมเพื่อเป็นการตรวจสอบในการครองตำแหน่งอุจจ์ โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- ตั้งศักราชกำเนิด (ปัจจุบันใช้จุลศักราช) แล้ว นำ ๑๒ มาหาร เหลือเศษให้ตราไว้
- ตั้ง ๘ ฐานของดาวพระเคราะห์ทั้งแปด โดยกำหนดเกณฑ์อุจจ์อัฏฐะของดาวพระเคราะห์ทั้ง ๘ ดังนี้
อาทิตย์ (๑) — เกณฑ์ ๕
จันทร์ (๒) —- เกณฑ์ ๑๐
อังคาร (๓)—– เกณฑ์ ๙
พุธ (๔) ——– เกณฑ์ ๑๒
พฤหัส (๕) —–เกณฑ์ ๑๑
ศุกร์ (๖) ——–เกณฑ์ ๖
เสาร์ (๗) ——-เกณฑ์ ๙
ราหู (๘) ——–เกณฑ์ ๗ - นำเศษ ข้อ (1) บวกกับเกณฑ์อุจจ์อัฏฐะเคราะห์ ข้อ (2) ได้ลัพท์แล้วนำ ๑๒ หารอีกครั้ง เศษที่ได้นำไปขับดาวพระเคราะห์ในดวงชะตา
- การขับดาวให้ขับเป็นทักษิณาวัฎฎ์ ตามเท่ากับเศษ โดยให้นับราศีเบื้องหลังที่ดาวพระเคราะห์นั้นสถิตย์อยู่ หากเข้าไปสถิตย์ในราศีอุจจ์ แสดงว่าผู้จำเริญมิรู้ยาก มีแต่เสมอตระกูล
ตัวอย่างดวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถขับดาวพระเคราะห์ได้อุจจ์ครบทั้ง ๘ ดวง ดังนี้
ประสูติกาล ณ วัน ๖ ฯ ๖ ปีจอ อัฎฐศก ศักราช ๖๘ เวลา ๑๒:๐๐ น
วิธีขับดวงเข้าอุจจ์
ขั้นที่ ๑ ตั้งศักราชกำเนิดลง ๖๘ เอา ๑๒ หาร
๖๘ หาร ๑๒ ลัพธ์ ๕ เศษ ๘
นำเศษ ๘ ตราไว้ แล้วบวกเข้ากับเกณฑ์อุจจ์อัฏฐะเคราะห์ แล้วนำ ๑๒ หาร
อาทิตย์ (๑)—–เกณฑ์ ๕ + ๘ ได้ ๑๓ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๑
จันทร์ (๒)——-เกณฑ์ ๑๐+ ๘ ได้ ๑๘ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๖
อังคาร (๓)——เกณฑ์ ๙ + ๘ ได้ ๑๗ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๕
พุธ (๔)———-เกณฑ์ ๑๒+ ๘ ได้ ๒๐ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๘
พฤหัส (๕)——เกณฑ์ ๑๑+ ๘ ได้ ๑๙ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๗
ศุกร์ (๖)———เกณฑ์ ๖+ ๘ ได้ ๑๔ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๒
เสาร์ (๗)——–เกณฑ์ ๙+ ๘ ได้ ๑๗ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๕
ราหู (๘)———เกณฑ์ ๗+ ๘ ได้ ๑๕ หารด้วย ๑๒ ลัพธ์ ๑ เศษ ๓
เมื่อได้เศษสำหรับการขับดาวพระเคราะห์ในดวงเดิมแล้ว ให้ขับทักษิณาวัฎฎ์ (หรือถอยหลัง) ของดาวพระเคราะห์ไปเท่ากับจำนวนเศษ แล้วลงพระเคราะห์นั้น ๆ ใหม่ดังนี้
อาทิตย์ (๑) เดิมราศีพฤศภ นับถอยหลัง ๑ ราศี ตกราศีเมษ —- อุจจ์
จันทร์ (๒) เดิมราศีพิจิก นับถอยหลัง ๖ ราศี ตกราศีพฤศภ —อุจจ์
อังคาร (๓) เดิมราศีเมถุน นับถอยหลัง ๕ ราศี ตกราศีมังกร —-อุจจ์
พุธ (๔) เดิมราศีพฤศภ นับถอยหลัง ๘ ราศี ตกราศีกันย์ —–อุจจ์
พฤหัส (๕) เดิมราศีกุมภ์ นับถอยหลัง ๗ ราศี ตกราศีกรกฎ —-อุจจ์
ศุกร์ (๖) เดิมราศีพฤศภ นับถอยหลัง ๒ ราศี ตกราศีมีน ——-อุจจ์
เสาร์ (๗) เดิมราศีมีน นับถอยหลัง ๕ ราศี ตกราศีตุลย์ ——อุจจ์
ราหู (๘) เดิมราศีกุมภ์ นับถอยหลัง ๓ ราศี ตกราศีพิจิก ——อุจจ์
เมื่อขับดวงชะตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ดาวพระเคราะห์ ๘ ดวงนั้นเข้าตำแหน่งมหาอุจจ์ทั้งหมด

ขอบคุณ ที่มา

