วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นองค์กรเอกชนสาธารณกุศลที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประกาศกระทรวงการคลังลำดับที่ 75 เป็นมูลนิธิฯ ที่ให้ความช่วยเหลือคนพิการแห่งแรกในประเทศไทย โดยมุ่งช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นด้วยการพัฒนาความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันโดยมิได้หวังผลตอบแทน จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2482 มีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ ดังนี้

เพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นทั้งชายหญิง โดยไม่จำกัดเชื้อชาติและศาสนา
เพื่อให้การศึกษาสายสามัญและการฝึกอบรมด้านอาชีพ เพื่อช่วยให้ผู้พิการทางการเห็นสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
เพื่อร่วมมือกับหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้พิการทางการเห็น

เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ มูลนิธิฯ จึงมีการบริหารและดำเนินงานด้านต่าง ๆ 5 ส่วน คือโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด ศูนย์พัฒนาอาชีพคนตาบอดและศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดสามพราน โดยมีสำนักบริหารมูลนิธิฯ เป็นศูนย์กลางประสานงาน มูลนิธิฯ ได้รับความร่วมมือและช่วยเหลืออย่างดีจากผู้ที่เล็งเห็นคุณค่าความสำคัญในการหยิบยื่นโอกาสให้กับผู้พิการทางการเห็น ทั้งในรูปแบบการบริจาคเงิน สิ่งของ และการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ นำมาซึ่งความหวังและโอกาสที่ดีแก่ผู้พิการทางการเห็น เพื่อช่วยให้เกิดแสงสว่างในชีวิต

ประวัติและความเป็นมา
การก่อตั้งมูลนิธิฯ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของ มิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ สตรีตาบอดชาวอเมริกัน ที่มีความมุ่งมั่นและต้องการช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น และเห็นว่าประเทศไทยในขณะนั้นยังไม่มีองค์กรใดให้ความสนใจช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็น จึงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มก่อตั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ณ บ้านเช่าหลังเล็ก ถนนคอชเช่ ศาลาแดง

โดยได้ร่วมกับนักศึกษาไทยประดิษฐ์อักษรเบรลล์ภาษาไทยขึ้น ต่อมามีผู้มีจิตกุศลช่วยเหลือและสนับสนุนร่วมกันจัดตั้งมูลนิธิชื่อว่า “มูลนิธิช่วยให้การศึกษาแก่คนตาบอดในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2482 โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษาแก่ผู้พิการทางการเห็นตามสมควรแก่อัตภาพ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตัวเองและอยู่ในสังคมได้อย่างคนปกติทั่วไปโดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ จำต้องวางมือจากงานเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น จึงได้ติดต่อขอนักบวชคณะซาเลเซียนมาช่วยบริหารงานแทน คณะซิสเตอร์ได้เข้ามาดูแลนักเรียนด้วยความเอาใจใส่ให้กำลังใจ ทำให้เด็กๆมีกำลังใจต่อสู้อุปสรรคต่างๆ พิสูจน์ให้สังคมทั่วไปเห็นว่าพวกเขามีความสามารถในการเรียนรู้ และทำสิ่งต่างๆได้ เป็นเด็กมีระเบียบวินัย ซื่อสัตย์ และมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ มีผู้ศรัทธาบริจาคเงินให้การสนับสนุนมากขึ้น ทำให้การศึกษาของเด็กนักเรียนผู้พิการทางการเห็นเจริญก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น คณะซิสเตอร์ได้มอบงานคืนให้มูลนิธิฯ ในปี พ.ศ. 2535

ในปี พ.ศ. 2502 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์” โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้บริหารงาน

ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ให้การสงเคราะห์ผู้พิการทางการเห็น โดยตั้งอยู่ในหลักการที่ว่า การช่วยเหลือผู้พิการทางการเห็นนั้น มิใช่ช่วยเพียงการเริ่มต้นที่โรงเรียนเพื่อให้ได้รับการศึกษาเท่านั้น หากแต่ต้องช่วยพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสทางวิชาชีพเพื่อหารายได้เลี้ยงตนเอง โดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ จึงจะถือได้ว่าการดำเนินงานของมูลนิธิฯ นั้น สัมฤทธิ์ผลโดยสมบูรณ์

วีอาร์ดี ชวนทำดี

งานอาสา

  • งานสอนการบ้านนักเรียนพิการทางการเห็น เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา อังกฤษ ฯลฯ
  • พิมพ์หนังสือและสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเพื่อให้นักเรียนผู้พิการทางการเห็นค้นคว้าทำรายงานหรือแปลงเป็นหนังสืออักษรเบรลล์
  • พิมพ์หนังสือเรียน หรือ เอกสารประกอบการเรียนตามที่นักเรียนผู้พิการทางการเห็นต้องการ
  • งานสอนภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส)

ดูรายละเอียด งานอาสา

บริจาคเงิน

E-donation

ดูรายละเอียด ข้อมูลการบริจาค

ที่มา มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Private: วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิธรรมรักษ์และวัดพระบาทน้ำพุ

โรคเอดส์ได้แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่ปี 2527 จนถึงปัจจุบัน โดยที่การ แพร่ระบาดยังไม่สามารถที่จะควบคุมได้ แม้ทางรัฐจะได้ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ปัญหา แต่การประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเอดส์ลดน้อยลง ทำให้ประชากรขาดความตระหนักในการป้องกันตนเองมากขึ้น ผู้ติดเชื้อนั้นเกิดจากการมีพฤติกรรมเสียง เช่น การเสพสิ่งมึนเมา, การเที่ยวหญิงบริการ, ยาเสพติด เป็นต้น
โรคเอดส์ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างไม่อาจประเมินได้ และที่สำคัญคือปัญหาทางสังคมที่เกิดการรังเกียจ ทอดทิ้ง ไม่ยอมรับผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยให้อยู่ร่วมกันในสังคม และยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน และ ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเอง ได้รับเชื้อ จึงทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปสู่บุคคลอื่นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเอดส์ไม่เพียงพอ ประชากรไทยจึงขาดความตระหนักในการป้องกันตน โดย เฉพาะเยาวชนนักเรียน นักศึกษา ได้มีการติดเชื้อโรคเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงซึ่งนับได้ว่าเป็นปัญหาวิกฤติในปัจจุบัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว หลักการในการแก้ปัญหาจึงควรที่ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือการขาดความตระหนัก ในศีลธรรมโดยเร่งส่งเสริมให้ประชาชนได้เรียนรู้ถึงโทษภัยของโรคเอดส์ว่าเกิดจากพฤติกรรมที่ขาดความตระหนักในศีลธรรม ซึ่งบทบาทดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์โดยตรง ที่จะต้องให้การอบรมสั่งสอนประชาชนทั้งประเทศอย่างจริงจัง
วัดพระบาทน้ำพุ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ได้เริ่มต้นรับรักษาและฟักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2535 และดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ริเริ่มโครงการคือเจ้าอาวาส พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ) ได้ก่อตั้งมูลนิธิธรรมรักษ์ ที่วัดพระบาทน้ำพุ เพื่อการดำเนินการเกี่ยวกับโรคเอดส์ ซึ่งมีสองส่วน ส่วนแรกคือรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไปจากทั่วประเทศ ส่วนที่สองคือการรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบโรคเอดส์จากบิดามารดา ทั้งสองส่วนอยู่ในการดูแลของวัดในแต่ละเดือนวัดจะมีค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่าบริหารจัดการภายในวัด และค่าเผาศพ ปัจจุบันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทยบางส่วน ส่วนที่เหลือเป็นการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ส่วนยาต้านไวรัสเอดส์และอาสาสมัครได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไปจากทั่วประเทศ
การรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบโรคเอดส์จากบิดามารดา
เพื่อส่งเสริมบทบาทของคณะสงฆ์ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติทางสังคม
เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโรคเอดส์ของประชากรไทย
เพื่อสร้างความมีเมตตาในการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยในสังคมอย่างปกติ
เพื่อสร้างความตระหนักให้ทุกองค์กรร่วมกันในการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์
เพื่อสร้างแบบอย่างในการแก้ไขปัญหา โดยใช้แนวทางของพระพุทธศาสนา
วีอาร์ดี ชวนทำดี ร่วมบริจาคกับมูลนิธิธรรมรักษ์ สำหรับผู้ที่สนใจร่วมบริจาคเงิน หรือสิ่งของสามารถดูรายได้เอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phrabatnampu.org/donate.html
หรือติดต่อ
วัดพระบาทน้ำพุ
วัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี 15000
โทรศัพท์ : 036 – 776 – 646, 089 – 742 – 0729 ถึง 30
โทรสาร : 036 – 776 – 646.
อีเมล์ : aidstemple@hotmail.com
budaids@hotmail.com
contact@phrabatnampu.org
donate@phrabatnampu.org
สำนักงานโครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ มูลนิธิธรรมรักษ์
วัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี 15000
โทรศัพท์ : 036 – 776 – 646, 089 – 742 – 0729 ถึง 30
โทรสาร : 036 – 776 – 646.
สำนักงานโครงการเมตตาธรรมค้ำจุนโลก
วัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี 15000
* งานอนุโมทนาบัตร ถวายปัจจัย
* ถวายสิ่งของกับพระอาจารย์
* ใบฎีกา ซองผ้าป่า กล่องรับบริจาค
* บูชาวัตถุมงคล
โทรศัพท์ : 089 – 801 – 8250

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา

มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และมีภาระกิจสนับสนุนเครือข่ายชุมชนที่ให้บริการดูแลผู้ป่วย ตลอดจนกิจกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่ปวย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับเข้าสู่สังคม ดำรงชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

โรงพญาบาลศรีธัญญา

โครงการวีอาร์ดี ชวนทำดี ร่วมบริจาคเงิน กับมูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์

มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์
จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2475 โดย ฯพณฯ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
พลอากาศโท น.พ.สดับ ธีระบุตร ม.ร.ว.หญิง เสริมศรี เกษมศรี และคณะกรรมการอีกหลายท่าน
กระทรวงศึกษาธิการได้แสดงเจตจำนงการจัดตั้งมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกไว้ว่า
“คนหูหนวกนั้นหากได้รับการสอนและฝึกด้วยวิธีพิเศษตามวิชาการแล้ว จะเป็นผลให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสได้รับการศึกษา และเป็นกำลังที่มีประโยชน์ต่อประเทศได้เช่นเดียวกับปกติชนทั้งหลาย”
จึงได้เปิดหน่วยสอนคนหูหนวกขึ้นที่โรงเรียนเทศบาล 17 (วัดโสมนัสวิหาร) โดยอาศัยห้องเรียนห้องหนึ่ง และเปิดในวันฉลองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในระยะแรก ม.ร.ว.หญิง เสริมศรี เกษมศรี ผู้สำเร็จปริญญาโททางการสอนคนหูหนวก จากสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าหน่วยสอนคนหูหนวก และมีครูผู้ช่วย 2 คน แรกเปิดสอนนั้นมีนักเรียนเพียง 12 คน
วีอาร์ดี ชวนทำดี ร่วมบริจาคเงิน มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์
ตัวอย่าง โครงการของมูลนิธิ

  • มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกฯ จัดทำสื่อ ‘เสียงแรกในชีวิต’ หรือ ‘Welcome Sound’ เพื่อต้องการให้ทุกคนได้ชมว่าเด็กที่พิการหูหนวกแต่กำเนิด พวกเขากลับมาได้ยินและเริ่มพูดได้ ถ้าได้รับการผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียม ในช่วงอายุ 0-4 ปี
  • มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมป์ได้จัดโครงการ “หนูอยากได้ยินเสียงแม่” เพื่อช่วยเหลือเด็กหูหนวกที่ยากจน ตั้งแต่ 0-7 ขวบ เพื่อให้เข้าถึงอุปกรณ์ช่วยฟังที่มีคุณภาพได้เท่าเที่ยมกับเด็กหูหนวกทั่วไป

โดยโอนเงินผ่านธนาคาร ชื่อบัญชี มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์

  • ธนาคาร กรุงเทพ สาขา ราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-0-76625-4
  • ธนาคาร กรุงไทย สาขา ศรีย่าน บัญชีเลขที่ 012-1-49790-9
  • ธนาคาร ทหารไทย สาขา รพ.พระมงกุฎเกล้า บัญชีเลขที่ 038-2-62609-1
  • ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขา ราชวัตร บัญชีเลขที่ 094-1-34813-1
  • ธนาคาร กสิกรไทย สาขา ราชวัตร บัญชีเลขที่ 722-2-20808-9

นอกจากการบริจาคเงินแล้ว ทางมูลนิธิฯ ยังมีการรับบริจาคสิ่งของ เช่น อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง ฯลฯ
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ การบริจาคมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์
หมายเหตุ ขอบคุณข้อมูลจาก www.deafthai.org

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมาร

ประวัติ
สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกในประเทศไทย ก่อตั้งโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๓๒ โดยมีชื่อว่า “โรงพยาบาลคนเสียจริต” ตั้งอยู่ที่ปากคลองสาน โรงพยาบาลคนเสียจริต ทำการรักษาผู้ป่วยโดยแพทย์ประจำ และแพทย์แผนไทย ต่อมามีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นประกอบกับสถานที่คับแคบ นายแพทย์ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล กระทรวงนครบาล ซึ่งถือว่าเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาลได้เสนอให้รัฐบาลซื้อที่ดิน เละบ้านของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือเจ้าคุณทหาร ที่ดินของนายเปียราชานุประพันธ์และที่ดินใกล้เคียงของราษฎรอื่นๆรวมเนื้อที่ ๔๔ ไร่ครึ่งเพื่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันฯในปัจจุบัน คืออยู่ที่ริมคลองสานด้านตะวันตกตอนใต้ห่างจากสถานที่เดิมประมาณ ๖๐๐ เมตร การสร้างโรงพยาบาลคนเสียจริต อยู่ภายใต้การควบคุมของพระยาอายุรเวชวิจักษ์ (หมอคาธิวส์) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางรากฐานโรงพยาบาลจิตเวชให้เป็นแบบตะวันตกอย่างแท้จริง โดยให้การบำบัดรักษาตามหลักวิชาการในสมัยนั้น พร้อมทั้งให้การดูแลผู้ป่วยด้วยความเมตตา กรุณา และมีมนุษยธรรม ในด้านสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลมีความร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม้ดอก ไม้ใบสีสวย เรือนผู้ป่วยเป็นห้องมีลูกกรงสายบัว โปร่ง ไม่มีหน้าต่าง หลังคาสังกะสีทาสีแดง
ภายหลังมีแพทย์แผนปัจจุบันคนไทยจบการศึกษามารับราชการแทนชาวต่างประเทศ ศาสตราจารย์หลวงวิเชียรแพทยาคม (นายแพทย์เถียร ตูวิเชียร) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนแรกซึ่งเป็นคนไทย ท่านได้ไปศึกษาวิชาโรคจิตเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา ๒ ปี ท่านตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยจิตเวช จึงได้เผยแพร่ความรู้ทางด้านจิตเวชด้วยการเขียนบทความ บรรยาย ปาฐกถาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเลิกหวาดกลัวผู้ป่วยจิตเวช ท่านได้เปลี่ยนชื่อ “โรงพยาบาลคนเสียจริต” มาเป็น “โรงพยาบาลโรคจิตต์ธนบุรี” ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เพื่อให้คนทั่วไปคลายความรังเกียจที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวช
ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ผู้อำนวยการในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๕๐๒ ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งจิตเวชศาสตร์ไทย ท่านได้พัฒนาโรงพยาบาลโดยรื้อลูกกรงเหล็กแล้วเปลี่ยนเป็นมุ้งลวดแทน เปลี่ยนชื่อเรือนที่พักของผู้ป่วยเป็นชื่อดอกไม้เพื่อให้มีความหมายน่าชื่นใจ ในด้านการดูแลผู้ป่วยใช้หลักของความรัก ความเอาใจใส่ประดุจพ่อแม่ดูแลลูก ในด้านวิชาการท่านเป็นผู้วางรากฐานวิชาจิตเวชศาสตร์และสุขภาพจิตในการศึกษาก่อนและหลังปริญญา ท่านได้เปลี่ยนชื่อ ”โรงพยาบาลโรคจิตต์ธนบุรี” มาเป็น “โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา” ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามชื่อของถนนสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งผ่านหน้าโรงพยาบาล เพื่อลดความกระดากใจของผู้มาใช้บริการ
โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาให้บริการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช ประสาทวิทยา ประสาทศัลยศาสตร์ ประสาทจิตเวชศาสตร์ เป็นสถาบันฝึกอบรมทางด้านจิตเวชศาสตร์ สุขภาพจิต และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในระดับก่อนและหลังปริญญา พัฒนางานวิชาการด้านจิตเวชศาสตร์ สุขภาพจิต ประสาทวิทยา ประสาทศัลยศาสตร์ ประสาทจิตเวชศาสตร์ และเพื่อให้สอดคล้องกับหน้าที่และความรับผิดชอบจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา” ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕
มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ ฯ
ความเป็นมา
ผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการทางจิตรุนแรง เรื้อรัง ฐานะยากจน ญาติที่ยากจนขัดสนมักจะทิ้งผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล การดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพที่ดี ลำพังงบประมาณจากทางราชการอย่างเดียวไม่เพียงพอ จึงได้ก่อตั้งมูลนิธิขึ้น เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2522 ชื่อ “มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา” ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเมตตารับมูลนิธิ ฯ ไว้ในพระราชูปถัมภ์ ใช้ชื่อว่า “มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2544
 
 
กิจกรรมมูลนิธิฯ
1. สนับสนุนของใช้ประจำวันที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพ แก่ผู้ป่วยจิตเวชยากไร้
2. สนับสนุนงบประมาณ การจ้างบุคลากรด้านการบำบัดรักษาพยาบาลดูแลผู้ป่วย เนื่องจากบุคลากรด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่จ้างด้วยงบประมาณจากทางราชการไม่เพียงพอ ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ และนักกายภาพบำบัด
3. จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และครุภัณฑ์ต่าง ๆ ให้แก่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
4. ให้ทุนสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยด้านจิตเวชศาสตร์ สุขภาพจิต และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อนำความรู้จากงานวิจัยไปพัฒนาด้านการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช
5. ให้การสนับสนุนงบประมาณเรื่องยาที่มีราคาสูง และเป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยรายที่มีฐานะยากจน
6. ให้ค่าทำขวัญแก่เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลผู้ป่วย และถูกผู้ป่วยทำร้ายได้รับบาดเจ็บ
7. โครงการให้ความรู้สุขภาพจิตและจิตเวชศาสตร์แก่ประชาชน เช่น โครงการ “ปันรัก” ซึ่งจัดกิจกรรมให้ความรู้สุขภาพจิต ตามโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน การให้ความรู้สุขภาพจิตทาง Facebook ชื่อ “ปันรัก สมเด็จ”
8. โครงการการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยในจิตเวชชาย สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
ในปี พ.ศ.2543 ถึง ปี พ.ศ.2546 มูลนิธิฯ ได้รณรงค์หารายได้สร้างอาคารผู้ป่วยในจิตเวชชาย ขึ้น 1 หลัง เป็นอาคารสูง 9 ชั้น เนื้อที่ใช้สอย 8,557 ตารางเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 120 ล้านบาท อาคารหลังดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย และเปิดให้บริการผู้ป่วยตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2547 และเปิดอาคาร ราชสาทิส เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2550 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ มีพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธย ภปร มาประดิษฐาน ณ อาคารหลังนี้
9. โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยในจิตเวชหญิง สถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าพระยา
ในปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2554 มูลนิธิได้รณรงค์หารายได้สร้างอาคารผู้ป่วยในจิตเวชหญิงขึ้นอีก 1 หลัง เป็นอาคารสูง 9 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 12,384 ตารางเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 240 ล้านบาท จัดซื้อครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสมทบทุน “กองทุนสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙” การก่อสร้างอาคารได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สมทบทุนสร้างอาคารหลังนี้เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 การก่อสร้างอาคารได้แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2553 ต่อมาพระองค์ทรงมีพระเมตตาพระราชทานนามอาคารหลังนี้ว่า “อาคารสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙” และทรงมีพระราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย ย่อ “ส.ก.” ประดิษฐาน ณ อาคารหลังนี้ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคาร ณ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยหลังใหม่
    สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา นอกจากให้บริการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวช ยังให้การบริการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคสมอง ระบบประสาท เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเก่าแก่อายุกว่า 120 ปี อาคารผู้ป่วยในสมองระบบประสาท ผู้ป่วยในจิตเวชสูงอายุ มีสภาพชำรุดทรุดโทรม อาคารผู้ป่วยนอกก็มีขนาดเล็กและสภาพแออัด ไม่เพียงพอต่อการบริการผู้ป่วย ประกอบกับการพัฒนาด้านการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก จำนวนประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยจิตเวชสูงอายุ และผู้ป่วยสมองระบบประสาทในผู้สูงอายุ เช่น โรคสมองเสื่อม, โรคซึมเศร้า จะมีจำนวนมากขึ้นด้วย สถานที่และอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อการให้บริการแก่ประชาชน สถาบัน ฯ จึงมีความจำเป็นต้องสร้างอาคารผู้ป่วยขึ้นอีก 1 หลังงบประมาณในการก่อสร้าง 400 ล้านบาท เพื่อการดูแลผู้ป่วยในจิตเวชสูงอายุ ผู้ป่วยในโรคสมองระบบประสาท ผู้ป่วยนอก และจัดซื้อครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสมทบทุน “กองทุนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙” เพื่อผู้ป่วยจิตเวชยากไร้

อาคารเพื่อการดูแล
• ผู้ป่วยในจิตเวชสูงอายุ
• ผู้ป่วยในโรคสมองระบบประสาท
• ผู้ป่วยนอก

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ ฯ

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมบริจาคให้มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ ฯ สามารถทำได้โดย

1. ชำระเป็นเงินสด ด้วยตัวเองได้ที่สำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตึกวิจัย ชั้น 2 สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
2. ชำระเงินทางธนาณัติ สั่งจ่าย “มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ฯ ” ปณฝ. คลองสาน กรุงเทพฯ 10604 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 10600
3. ชำระเงินโดยเช็ค สั่งจ่าย “มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในพระราชูปถัมภ์ ฯ” แล้วส่งเช็คมาที่มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เลขที่ 112 ถ.สมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 10600
4. โอนเงินผ่านธนาคาร แล้วส่งหลักฐานการโอนเงินที่มูลนิธิ ฯ ทางไปรษณีย์
ที่ตั้ง สำนักงานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ฯ
เลขที่ 112 ถนนสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน
เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 10600
หรือทางโทรสาร หมายเลข 02-4390357
โทรศัพท์ หมายเลข 02-4422542, 02-4422543
โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในพระราชูปถัมภ์ ฯ”
ธนาคารที่ท่านสามารถโอนเงินมาได้
1. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาลาดหญ้า เลขที่บัญชี 033-2-24453-2
2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาท่าดินแดง เลขที่บัญชี 044-1-16608-3
3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาคลองสาน เลขที่บัญชี 151-0-87327-4
4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาธนบุรี เลขที่บัญชี 006-2-40514-7
5. ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขาสำเพ็ง เลขที่บัญชี 213-6-00376-6
6. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แฟชั่นไอส์แลนด์ เลขที่บัญชี 171-245510-7
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการบริจาค เพิ่มเติมที่ http://www.somdejfund.org/donate.html
เว็บไซต์ : http://www.somdejfund.org Email: somdejfund@hotmail.com

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิร่วมกตัญญู

ประวัติความเป็นมา
เมื่อครั้งสมัยสงครามบูรพา เหนือน่านฟ้าบางกอก ถูกถล่มด้วยฝูงบินบี 29 ของฝ่าย ตรงข้ามบินมาโปรย “ฝนเหล็ก” ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ช่วงนั้น คุณสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง ซึ่งอยู่ในวัยประมาณ13-14 ปี เป็นเด็กวิ่งส่งกาแฟ อยู่ย่านท่าเตียน ได้เห็นคนตายเพราะถูกระเบิดมากมายหลายศพ ตอนแรกๆ ออกไปดู เพราะความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กๆ เมื่อเห็นมากๆเข้าก็รู้สึกอดสังเวชใจไม่ได้ หลังๆ เลยออกไปช่วยเก็บศพกับเขาบ้าง แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆเหมือนกัน จนกระทั่ง เมื่อเก็บมากๆ เข้าจนรู้สึกเป็นการทำงานที่เป็นกุศล (จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเองที่เป็นแรง บันดาลใจให้คิดถึงการตั้งมูลนิธิขึ้น) และจากการที่ออกไปช่วยเก็บศพในครั้งกระนั้น เป็นเหตุให้คุณสมเกียรติได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเข้าที่ขา ซึ่งนึกว่าต้องตายเสียแล้ว แต่เคราะห์ดีที่ได้รับการรักษาจากทหาร
เมื่อสงครามสงบคุณสมเกียรติ ได้ประกอบอาชีพขายของเล็กๆน้อยๆ พอเก็บหอม รอมริบได้เงินพอประมาณ จึงเปิดเป็นร้านขายของชำเมื่อปี 2502 ย่านสลัมคลองเตย โดยมีกรรมกรเป็นลูกค้าประจำ โดยขายแบบลงบัญชี ว่ากันว่าลงกันจนกระทั่งสมุดเปื่อย ซึ่งบางครั้งต้องลงสมุดใหม่โดยรวมเอาบัญชีของเดิมเข้าไปด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งญาติของ กรรมกรเกิดตายขึ้นมาโดยเจ้าตัวไม่มีเงินซื้อโลง ก็มาขอลงบัญชีเพื่อนำเงินไปซื้อโลง คุณสมเกียรติเห็นว่าควรทำบุญ เลยซื้อโลงให้ไปในราคาประมาณ 70-80 บาท
คุณสมเกียรติเห็นว่า นานๆ จะมีคนตายสักครั้ง จึงประกาศตัวด้วยการ บริจาคและทำบุญให้กับศพ โดยการจัดหาโลงศพพร้อมนิมนต์พระมาสวดให้ เสร็จสรรพ ซึ่งตัวคุณสมเกียรติจะเป็นผู้เก็บศพ ยกศพทุกครั้งที่มีคนตาย ซึ่งระยะแรกๆ ก็พอสู้ได้ ต่อมาเมื่อมีคนรู้ข่าวการกุศลนี้ก็มีศพมากขึ้น จึงได้ปรึกษากับคุณรัตนา ผู้เป็นภรรยา ถึงการจัดตั้งมูลนิธิอย่างเป็นรูปธรรม กระทั่งวันหนึ่ง คุณหมอโรจน์ โชติรุ่งเรือง ซึ่งเป็นอาของคุณสมเกียรติ แวะมาเยี่ยมเยียน และปรารภถึงการ อุปถัมภ์คนตายว่า การจัดหาโลงศพเป็นการสร้างกุศลที่ดีจึงขอร่วมด้วย ซึ่งสมัยนั้น คุณโรจน์เปิดร้านขายยารุ่งเรืองเภสัช อยู่แถวประตูน้ำ เมื่อทำไปได้สักระยะหนึ่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น จนกลัวว่าถ้าหากมีศพมากขึ้นจะทำต่อไม่ไหว จึงปรารภกันว่าน่า จะจัดตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อให้ผู้อื่นได้ร่วมกุศลนี้ด้วย ต่อมาจึงได้ไปจดทะเบียนตั้งเป็นมูลนิธิ ร่วมกตัญญูอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2513 มูลนิธิร่วมกตัญญูได้จดทะเบียน ถูกต้องตามกฎหมาย ภายใต้การจัดตั้งโดยคุณโรจน์ โชติรุ่งเรือง และคณะกรรมการรวม 15 ท่าน ซึ่งมีคุณสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เป็นผู้บริหารงานและคุณรัตนา ภรรยา เป็นเลขาธิการ หลังจากที่คุณโรจน์ได้ถึงแก่กรรม คณะกรรมการบริหารมูลนิธิ จึงได้ยื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิร่วมกตัญญู มาเป็นชื่อคุณสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2530 จนถึงปัจจุบัน
วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิร่วมกตัญญู
วีอาร์ดีร่วมทำบุญกับมูลนิธิร่วมกตัญญู สาขาวัดหัวลำโพง  ขั้นตอนง่าย ๆ สำหรับการมาทำบุญโลงศพ เมื่อถึงมูลนิธิฯ แล้ว ให้เขียนชื่อ-สกุล และจำนวนเงินที่จะบริจาค เพื่อให้เจ้าหน้าที่ออกใบบริจาคเงินได้ถูกต้อง (สามารถนำไปหักภาษีได้) โดยสามารถบริจาคแบบครบชุด 500 บาท (โลงศพ + ผ้าขาว) จากนั้นเดินเข้าด้านใน นำใบสีชมพูมาทากาวแป้งเปียก แล้วอธิษฐานให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วแปะที่ฝาโลงศพ
การทำบุญโลงศพ ให้แก่ศพไม่มีญาติซึ่งการบริจาคโลงศพนั้น เชื่อกันว่าจะได้อานิสงส์แรง จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆและผ่อนหนักเป็นเบาได้

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
ประวัติความเป็นมา
การก่อตั้งมูลนิธิฯ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของ มิสเจเนวีฟ คอลฟิลด์ สตรีตาบอด ชาวอเมริกัน ที่มีความมุ่งมั่นและต้องการช่วยเหลือผู้บกพร่องทางการเห็น และเห็นว่าประเทศไทยในขณะนั้น ยังไม่มีองค์กรใดให้ความสนใจช่วยเหลือผู้บกพร่องทางการเห็น จึงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มก่อตั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดขึ้น เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ณ บ้านเช่าหลังเล็ก ถนนคอชเช่ ศาลาแดง โดยได้ร่วมกับนักศึกษาไทย ประดิษฐ์อักษรเบรลล์ภาษาไทยขึ้น ต่อมามีผู้มีจิตกุศลช่วยเหลือและสนับสนุนร่วมกันจัดตั้งมูลนิธิชื่อว่า “มูลนิธิช่วยให้การศึกษาแก่คนตาบอดในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2482 โดยมีวัตถุประสงค์ ในการให้การศึกษาแก่ผู้บกพร่องทางการเห็น ตามสมควรแก่อัตภาพ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตัวเองและอยู่ในสังคมได้อย่างคนปกติทั่วไป โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มิสเจเนวีฟ คอลฟิลด์ จำต้องวางมือจากงานเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น จึงได้ติดต่อ ขอนักบวชคณะซาเลเซียนมาช่วยบริหารงานแทน คณะซิสเตอร์ได้เข้ามาดูแลนักเรียนด้วยความเอาใจใส่ ให้กำลังใจ ทำให้เด็ก ๆ มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ พิสูจน์ให้สังคมทั่วไปเห็นว่าพวกเขามีความสามารถในการเรียนรู้ และ ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เป็นเด็กมีระเบียบวินัย ซื่อสัตย์และมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ มีผู้ศรัทธาบริจาคเงินให้การสนับสนุนมากขึ้น ทำให้การศึกษาของเด็กนักเรียนผู้บกพร่องทางการเห็น เจริญก้าวหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้น คณะซิสเตอร์ ได้มอบงานคืนให้มูลนิธิฯ ในปี พ.ศ. 2535
ในปี พ.ศ. 2502 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับไว้ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์” โดยมีคณะกรรมการมูลนิธิฯ เป็นผู้บริหารงาน
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ให้การสงเคราะห์ผู้บกพร่องทางการเห็น โดยตั้งอยู่ในหลักการที่ว่า การช่วยเหลือผู้บกพร่องทางการเห็นนั้น มิใช่ช่วยเพียงการเริ่มต้นที่โรงเรียนเพื่อให้ได้รับการศึกษาเท่านั้น หากแต่ต้องช่วยพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสทางวิชาชีพ เพื่อหารายได้เลี้ยงตนเอง โดยไม่เป็นภาระ แก่ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ จึงจะถือได้ว่าการดำเนินงานของมูลนิธิฯ นั้น สัมฤทธิ์ผลโดยสมบูรณ์


มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นองค์กรเอกชนสาธารณกุศลที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามประกาศกระทรวงการคลังลำดับที่ 75 เป็นมูลนิธิฯที่ให้ความช่วยเหลือคนพิการแห่งแรกในประเทศไทย โดยมุ่งช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาด้วยการพัฒนาความรู้ความสามารถและประสบการณ์ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันโดยมิได้หวังผลตอบแทน
จัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2482 มีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ ดังนี้

  • เพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาทั้งชายหญิง โดยไม่จำกัดเชื้อชาติและศาสนา
  • เพื่อให้การศึกษาสายสามัญและการฝึกอบรมด้านอาชีพ เพื่อช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
  • เพื่อร่วมมือกับหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้พิการทางสายตา

เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ มูลนิธิฯจึงมีการบริหารและดำเนินงานด้านต่างๆ 5 ส่วนคือโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ศูนย์พัฒนาสมรรถภาพคนตาบอด ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด ศูนย์พัฒนาอาชีพคนตาบอดและศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดสามพราน โดยมีสำนักบริหารมูลนิธิฯเป็นศูนย์กลางประสานงาน
วีอาร์ดี ชวนทำดี ร่วมบริจาคเงิน มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
บริจาคเงินโดยตรงที่สำนักงานบริหารมูลนิธิฯ (ท่านสามารถบริจาคผ่านบัตรเครดิตได้)
สำนักบริหารมูลนิธิฯ เลขที่ 420 ถ. ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 02-3548365-8 และ 02-3548370-71
จ่ายเช็คขีดคร่อม สั่งจ่าย มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชีมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

รายการชื่อบัญชีออมทรัพย์ของมูลมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
ธนาคาร เลขที่บัญชี
ธนาคารกรุงไทย สาขาสีลม 022-133700-8
ธนาคารกสิกรไทย สำนักสีลม 001-2-47563-4
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม 001-5-50577-8
ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชเทวี 123-4-34956-9
ธนาคารทหารไทย สาขาสีลม ซอย 7 004-2-00711-2
ธนาคารธนชาต สาขาประเวศ 233-2-38518-6
ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่พหลโยธิน 050-01-263646-5
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาสยามสแควร์ 014-13-016996-0

เมื่อท่านโอนเงินแล้ว กรุณาส่งแฟกซ์ใบนำฝากมาที่   02-354-8369service@blind.or.th
หรือส่งตามที่อยู่  เลขที่ 420 ถ. ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
เพื่อมูลนิธิฯ จะทำการออกใบเสร็จรับเงิน ให้ท่านนำไป ลดหย่อนภาษีเงินได้  ตามลำดับที่ 75
วีอาร์ดี ชวนทำดี ร่วมเป็นอาสาสมัคร

ลักษณะงานที่มูลนิธิฯ ต้องการ

  • อ่านหนังสือลงเทปหรือซีดี (ประเภทหนังสือ บทเรียน วรรณกรรม สารคดี ฯลฯ )
  • งานด้านคอมพิวเตอร์ (สอนการใช้คอมพิวเตอร์)
  • พิมพ์หนังสือและสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตลงดิสก์เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาค้นคว้าทำรายงานหรือแปลเป็นหนังสือเบรลล์
  • งานสอนการบ้าน (คณิตศาสตร์ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาฯลฯ)
  • งานสอนภาษา (อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส)
  • งานสอนดนตรี (ดนตรีไทย ดนตรีสากล เปียโน)
  • งานผลิตสื่อ สำหรับใช้ในการเรียนการสอนของนักเรียนตาบอด
  • งานประชาสัมพันธ์
  • กิจกรรมนันทนาการ
  • งานห้องสมุด

ประเภทของอาสาสมัคร

  • บุคคลทั่วไป
  • นักเรียน นักศึกษา
  • อาสาสมัครที่ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ

คุณสมบัติของอาสาสมัคร – ไม่จำกัดเพศ และอายุ

  • มีจิตใจช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา

ช่วงเวลาทำงาน

  • ไม่จำกัดเวลา
  • วันธรรมดาและวันหยุด

ระเบียบปฏิบัติของงานอาสาสมัคร

  • กรอกแบบฟอร์มการเป็นอาสาสมัคร
  • ติดต่อกับผู้ประสานงานฝ่ายอาสาสมัครเพื่อจัดงานที่เหมาะสมสำหรับอาสาสมัครแต่ละท่าน
  • ติดบัตรอาสาสมัครทุกครั้งที่มาทำกิจกรรม
  • ลงเวลาทำงานทั้งมาและกลับทุกครั้งในสมุดลงเวลาที่ห้องอาสาสมัคร
  • ในกรณีที่อาสาสมัครต้องการใบรับรองการทำงานกรุณาแจ้งผู้ประสานงานล่วงหน้า
  • แต่งกายสุภาพเรียบร้อยทุกครั้งที่มาติดต่อ
  • เวลาปฏิบัติงานในโรงเรียน 10.00 – 18.00 น.

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.blind.or.th/

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม

วีอาร์ดี ชวนทำดี มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม
โรงพยาบาลอุ้มผาง เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชายแดน  ที่อยู่ในกลุ่มพื้นที่พิเศษ เนื่องจากประชากรในพื้นที่กว่าครึ่งไม่มีสิทธิประกันสุขภาพ การเดินทางไปที่โรงพยาบาลอุ้มผางมีระยะทาง 164 กิโลเมตร ระยะทางจาก อ.แม่สอด สู่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมง เนื่องจากถนนเลาะเลียบไปตามไหล่เขาผ่านโค้งถึง 1,219 โค้ง
ในจังหวัดตาก นอกจากประชาชนที่มีสัญชาติไทยแล้ว ยังมีกลุ่มคนอีก 2 กลุ่มอาศัยอยู่ ได้แก่
1.กลุ่มที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ซึ่งในทางทะเบียนราษฎร  ซึ่งคนกลุ่มนี้กำลังจะได้สถานะเป็นคนไทย เพียงแต่ยังไม่ได้สิทธิ 100 % และ
2. กลุ่มคนที่ไม่มีหลักฐานทางราชการ  เช่น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในป่าลึก พ่อแม่ไม่ได้มาแจ้งเกิด เนื่องจากอยู่ไกล หากจะเดินทางมาแจ้งเกิดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน จึงถูกตีความว่า ไม่ใช่คนไทย ไม่มีสัญชาติ เมื่อเจ็บป่วยมารับการรักษา จึงขาดสิทธิการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังมี ชาวปกาเกอะญอ หรือ กะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ระหว่างชายแดนไทย-พม่า ซึ่งไม่มีหลักประกันสุขภาพใด ๆ
นอกจากการช่วยเหลือรักษาพยาบาลตามหลักมนุษยธรรมแล้ว เนื่องจากมีคนที่ยังรอสถานะความเป็นคนไทย ซึ่งอยู่ระหว่างรอพิสูจน์สัญชาติ และต้องใช้กระบวนการทางกฎหมาย ที่โรงพยาบาลอุ้มผางจึงมี “คลินิกกฎหมายอุ้มผางเพื่อสิทธิมนุษยชน”  เพื่อช่วยคนกลุ่มนี้ ในการดำเนินการทางกฎหมายให้มีสิทธิเป็นพลเมืองตามสมควร
ในการจัดการดูแลสุขภาพให้กับกลุ่มคนต่าง ๆ โรงพยาบาลอุ้มผางได้แบ่งการจัดการแบ่งเป็น กลุ่มคนสัญชาติไทย ซึ่งจะได้รับสิทธิรักษาพยาบาล และการคุ้มครองจากกองทุนหลักประกันสุขภาพ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกส่วนหนึ่งที่ยังไร้สัญชาติ ที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่ได้รับสิทธิการคุ้มครอง ดังนั้นโรงพยาบาลอุ้มผางจึงต้องมีการตั้งมูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรมมุ่งช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้โดยไม่เลือกเชื้อชาติ
เนื่องจากพื้นที่ จ.ตาก เป็นพื้นที่พิเศษ นอกจากที่โรงพยาบาลอุ้มผางต้องรับภาระรักษาพยาบาลกลุ่มคนไร้สถานะแล้ว ยังมีต้นทุนการรักษาที่สูงกว่าพื้นที่อื่น  เนื่องจากที่ตั้งของโรงพยาบาลที่อยู่ค่อนข้างไกลดังนั้นในการขนส่งยาและเวชภัณฑ์จึงมีการบวกค่าขนส่งทำให้ต้นทุนแพงกว่า โรงพยาบาลอื่น ๆ
ดังนั้น นอกจากการช่วยเหลือจากทางภาครัฐแล้ว โรงพยาบาลยังต้องช่วยเหลือตนเอง โดยการประหยัดค่าใช้จ่าย และการเปิดรับบริจาคยาที่ไม่ใช้แล้ว  หรือยาเหลือทิ้งเพราะผู้ป่วยกินไม่หมด และพอครบกำหนดหมอนัดก็ได้รับยาชุดใหม่ โดยยาที่ได้รับจากการบริจาคทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะนำมาคัดแยก หากยาไหนเสื่อมสภาพ หมดอายุก็ทิ้งไป แต่ส่วนใหญ่พบว่าเป็นยาที่ยังใช้ได้ ไม่หมดอายุก็เก็บมาใช้ต่อ อีกทั้งปัจจุบันยาส่วนใหญ่ถูกบรรจุในแผงยาอย่างดี คงสภาพยาได้นาน จึงเป็นประโยชน์ในการประหยัดค่ายาของโรงพยาลได้มาก
นอกจากยาที่เหลือทิ้ง ที่โรงพยาบาลขอรับบริจาคแล้ว ทางโรงพยาบาลยังขอรับบริจาคผ้าอ้อม ผ้าห่ม และเสื้อผ้า เพื่อนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีฐานะยากจน เวลามาหาหมอทางโรงพยาบาลก็จะให้สิ่งของเหล่านี้กลับไป
วีอาร์ดี ชวนทำดี
สนใจบริจาคยา หรือของบริจาคอื่น ๆ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ Facebook มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจะระบุยาที่ต้องการบริจาค ช่องทาง รายละเอียดติดต่อ นอกจากนี้ท่านยังสามารถร่วมบริจาคเงินได้ที่

  • ธนาคารออมสิน สาขาอุ้มผาง เลขที่บัญชี 020133388387 ชื่อบัญชี เงินบำรุง รพ.อุ้มผาง (เงินบริจาคเพื่อซื้อยาและเวชภัณฑ์) (ใบเสร็จรับเงินสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้) หรือ
  • ธนาคารออมสิน สาขาอุ้มผาง เลขที่บัญชี 020051018644 ชื่อบัญชี “กองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ รพ.อุ้มผาง” (มีใบตอบรับเงินบริจาค ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้)

หรือติดต่อ มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม ที่อยู่ 159 หมู่ 1 ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง, เทศบาลเมืองตาก 63170 โทรศัพท์ 081 950 0080 E-mail : umh.foundation@hotmail.com
ขอบคุณ : ข้อมูล และรูปภาพจากเว็บไซด์หลากหลายแหล่งในอินเตอร์เน็ต
เครดิตรูปภาพ : Facebook มูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม