หลวงปู่สรวง เป็นพระภิกษุที่ได้รับความเคารพศรัทธาอย่างสูงจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานใต้และตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ท่านได้รับฉายาว่า “เทวดาเดินดิน”
หลวงปู่สรวงมีเชื้อสายเขมร และมักออกธุดงค์ตามเทือกเขาพนมดงรัก ข้ามไปมาระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ชาวบ้านจึงเรียกท่านในภาษาเขมรว่า “ลูกเอ๊าะเบ๊าะ” หรือ “ลูกตาเบ๊าะ” ซึ่งหมายถึง พระดาบสผู้รักษาศีลและมีเมตตาธรรมสูง
หลวงปู่สรวงเป็นพระที่มักน้อย สันโดษ และเรียบง่าย ท่านมักจำวัดอยู่ตามกระท่อมเถียงนาของชาวบ้าน ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่ยึดติดกับสมณศักดิ์หรือลาภยศ
ธรรมะหลวงปู่สรวง
1. แก่นคำสอนภาษาเขมร: พรแห่งความสุขและความอุดมสมบูรณ์
คำสอนที่ลูกศิษย์และผู้ศรัทธามักได้ยินจากหลวงปู่สรวงบ่อยที่สุด คือคำให้พรสั้น ๆ ที่มีความหมายครอบคลุมการดำเนินชีวิตที่ดีงามตามหลักพระพุทธศาสนา:
- “ออย เตียน สรูล” (Ouy Tian Suol): แปลว่า “ให้ทาน (ทำบุญ) แล้วจะมีความสุข”
- แก่นธรรม: เน้นเรื่อง ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลและปลูกฝังความไม่ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุ หากเราเป็นผู้ให้ จิตใจย่อมเกิดความสุขและเบาสบาย
- “บาย ตึ๊ก เจีย” (Bay Teuk Chea): แปลว่า “ข้าวน้ำดี”
- แก่นธรรม: เป็นพรที่อวยให้ อยู่ดีมีสุข มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัยสี่ และเน้นย้ำถึงการใช้ชีวิตอย่าง พอเพียง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น
2. ปริศนาธรรม: การใช้สัญลักษณ์สอนธรรมะชั้นสูง
ด้วยความที่หลวงปู่สรวงเป็นพระผู้สันโดษและไม่ยึดติดในสมมุติ ท่านจึงมักแสดงธรรมผ่านกิจกรรมหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นปริศนาให้ผู้คนตีความและเข้าถึงธรรมะด้วยตนเอง ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ:
- การโยงเชือกกับว่าว (ปริศนาเรื่องศีล):
- ครั้งหนึ่งท่านเคยโยนเชือกว่าวให้ลูกศิษย์แล้วกล่าวว่า “ยัว เตรา ศีล” (เอาไปศีล) ซึ่งถูกตีความว่า เชือก คือ ศีล
- ความหมาย: คนที่มีศีลเปรียบเสมือน ว่าวที่มีเชือกดึงไว้ ว่าวจึงสามารถขึ้นสูงได้บนท้องฟ้า แต่ถ้าเชือกขาด (ขาดศีลธรรม) จิตใจก็จะตกต่ำลง (ว่าวตก) การรักษาศีลจึงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยยกระดับจิตใจ
- การสุมกองไฟตลอดเวลา:
- หลวงปู่มักสุมกองไฟไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน และบางครั้งท่านจะโยนสิ่งของที่ผู้คนนำมาถวายลงในกองไฟ
- ความหมาย: การไม่ยึดติดในวัตถุทาน และเป็นปริศนาถึงการเผาผลาญ กิเลส เพื่อให้จิตบริสุทธิ์
3. หลักการปฏิบัติ: มุ่งสู่ความหลุดพ้น
คำสอนที่ปรากฏเป็นข้อความจากศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดหรือจากการแสดงธรรมของท่าน (ผ่านการตีความ) มักเน้นไปที่การปฏิบัติภาวนาและหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา)
- เรื่องกรรม: “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บาปมีจริง บุญมีจริง ผลของกรรมจะติดตามเหมือนล้อเกวียนที่หมุนทับรอยโค” ท่านย้ำเตือนให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม และให้ละเว้นความชั่ว
- ความไม่ยึดติด: ท่านแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่างว่า ชื่อเสียงหรืออดีตเป็นเพียงเรื่องสมมุติ ให้ใช้ชีวิตอยู่กับ ปัจจุบัน ไม่แบกอดีตหรือกังวลอนาคต เพราะจิตที่บริสุทธิ์คือจิตที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
กล่าวโดยสรุป ธรรมะของหลวงปู่สรวง คือการชี้ทางให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่าง ไม่ประมาท มีศีลเป็นเครื่องค้ำจุน และ สร้างบุญ (ทาน) เป็นรากฐาน เพื่อให้ชีวิตพบกับความสุขและความอุดมสมบูรณ์ในทางโลก และเป็นบาทฐานแห่งการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นในทางธรรม
หลวงปู่สรวง ละสังขาร เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2543 (บางแหล่งระบุ 2542) ณ กระท่อมบ้านรุน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ แต่ศรัทธาในหลวงปู่สรวงยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย ทำให้ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอีสานใต้มาจนถึงปัจจุบัน