กฎแห่งแรงเอื้อม หมายถึงการที่เราได้รู้ว่า ดาวนั้นบางดวงมีแรงเอื้อมเหนือไปจากจุดที่ตัวเองลอยอยู่
แรงเอื้อมพื้นฐาน
ดาวอังคาร มีแรงเอื้อม ๔ และ ๘ ราศี
ดาวพฤหัสฯ มีแรงเอื้อม ๕ และ ๙ ราศี
ดาวเสาร์ มีแรงเอื้อม ๓ และ ๑๐ ราศี
ราหู มีแรงเอื้อม ๔ และ ๑๐ ราศี
กฎแห่งแรงเอื้อม
คำว่า “แรงเอื้อม” หมายถึง พลังที่ดาวนั้นส่งไปยังจุดที่ตนเอื้อมถึง
ส่งอะไรไป?
ส่งความหมายหรือหน้าที่ที่ตนมีอยู่ไปยังจุดนั้น
ส่งไปแล้วจะต้องถึงจุดเอื้อมนั้นทุกครั้งด้วยใช่ไหม?
ไม่ใช่, ผลของการส่งจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อที่ราศีจุดนั้นมีดาวลอยอยู่ (เดิมหรือจรก็ได้ แล้วแต่กรณี)
ส่งไปทำไม?
ส่งไปเพื่อให้นำความหมายของดาวนั้นเข้าร่วมกับความหมายของดาว/ภพที่ลอยรับอยู่ตรงจุดนั้น เป็นการส่งเสริมการพยากรณ์ในเรื่องนั้นๆ ให้มีความถูกต้องมากขึ้น
กฎของแรงเอื้อมพื้นฐานนี้ยังต้องมีปัจจัยในการใช้อยู่อีก เพราะดาวส่งแรงเอื้อมไปได้จริงอย่างที่ว่า แต่ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องส่งไปตามคุณสมบัติที่ตนมีอยู่ตลอดไปหรอก คือ
ไม่ต้องส่งไปตลอดเวลาที่ลอยอยู่ในราศีต่างๆ นั้นเลย จะส่งก็ต่อเมื่อผู้พยากรณ์มีความต้องการที่จะให้ดาวนั้นส่งแรงเอื้อมไปเพื่อผลการพยากรณ์ในเรื่องนั้นๆ เท่านั้น
ถ้าเราไม่ต้องการให้ส่งก็ไม่ต้องส่ง เช่น เรากำลังตรวจทายเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวนั้นเลย เราก็ไม่ต้องใช้ดาวนั้นในการส่งแรงเอื้อม
แต่ถ้าดาวนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย นั่นแหละเราจึงจะใช้ให้ดาวนั้นส่งแรงเอื้อมไปยังจุดที่เราต้องการ
พูดง่ายๆ ก็คือ การใช้แรงเอื้อมพื้นฐานนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราซึ่งเป็นผู้พยากรณ์นั่นเอง
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า แรงเอื้อมของราหูนั้นจะเอื้อมไปตามทิศทางโคจรของดาวราหู นั่นคือสวนทางกับดาวปกติ (สัตตเคราะห์) หรือเดินตามเข็มนาฬิกา และแรงเอื้อมของราหูนี้ยังมีความพิเศษนอกเหนือกว่าดาวอื่น ๆ อยู่บ้าง เช่น
ในมุมเกณฑ์สี่ที่เอื้อมไปนั้นท่านเรียกว่าเป็นเกณฑ์ศรี และมุมเกณฑ์สิบนั้นท่านเรียกว่ามุมกาลี โดยที่เชิงมุมที่แรงเอื้อมศรีตกนั้นมักจะทายในด้านดี เชิงมุมกาลีนั้นก็มักจะทายในด้านร้าย

ซึ่งโบราณท่านก็ไม่ได้ถือเอาว่าเชิงมุมทั้งศรีและกาลีนี้จะต้องเป็นมุมดีมุมร้ายเสมอไป
แต่ขึ้นอยู่กับ “ตัวเรื่อง” ที่เรากำลังพยากรณ์อยู่ด้วยว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย ถ้าเป็นเรื่องร้ายมาตกที่มุมกาลี ก็จะกลับเป็นดีแก่เจ้าชาตาไป
ทั้งนี้ ในบางครั้ง แรงเอื้อมของดาวไปตกยังจุดหรือภพที่เป็นทุสถานะอันให้โทษแก่ดวงชาตา ตรงนี้เราจะต้องใช้ดุลยพินิจในพิจารณาแรงเอื้อมของดาวด้วยว่า เราจะใช้แรงเอื้อมของดาวนั้นไหม
แรงเอื้อมพื้นฐานของดาวนั้นมักมีอยู่สองจุด บางทีจุดหนึ่งดีจุดหนึ่งเสีย หรือดีทั้งสองจุด หรือบางทีก็เสียทั้งสองจุดเลยก็มี
ดังนั้น การใช้จึงต้องตรวจให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นอาจจะทำให้การพยากรณ์ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงก็ได้
ผู้พยากรณ์จะต้องคำนึงถึงให้มาก และต้องตรวจด้วยทุกครั้งที่เราจะใช้แรงเอื้อมของดาวว่า จุดที่แรงเอื้อมตกนั้นให้คุณหรือโทษแก่เจ้าชาตา ซึ่งจะส่งไปถึงผลการพยากรณ์ด้วย
ขอบคุณ ที่มา 1 2