พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ มีความหมายคือ ผู้เจริญโดยรอบ ผู้ประเสริฐโดยรอบ
บ้างก็เรียกว่าพระวัชรสัตว์(金剛薩埵) พระองค์ทรงปรากฎเป็นพระมหาจริยาธิคุณอันยิ่งใหญ่
ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง มักจะปรากฏคู่กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ในฐานะหัวหน้าของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง
ในพระสูตรกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นสภาวะของจักรวาล มีความว่างเปล่าและยิ่งใหญ่ประดุจอากาศ
ทรงมีมหาปณิธาน ๑๐ ประการ ที่สาธุชนนิยมสวด
สาธยายและยึดถือปฏิบัติดังนี้
๑.ขอคารวะนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวง
๒.ขอกล่าวสดุดีพระตถาคตเจ้าทั้งปวง
๓.ขอถวายสักการะด้วยความยิ่งใหญ่อลังการ
๔.ขอขมาสำนึกในความผิดบาปทั้งปวง
๕.ขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งปวง
๖.ขออาราธนา(พระพุทธเจ้าทั้งปวง)ให้ทรงหมุนเคลื่อนพระธรรมจักร
๗.ขออาราธนา(พระพุทธเจ้าทั้งปวง)ให้ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ในโลก
๘.ขอศึกษาบำเพ็ญตามพระพุทธองค์
๙.ขออนุโลมคล้อยตามสรรพสัตว์
๑๐.ขออุทิศซึ่งกุศลบารมีทั้งปวง(แด่สรรพสัตว์และโพธิญาณ)
ด้วยพระมหาปณิธานทั้ง ๑๐ ประการนี้ สาธุชนมหายานจึงถวายสมญาแด่พระองค์ว่า
“มหาจริยาราชาโพธิสัตว์” (大願王菩薩,大行王菩薩)
คือพระผู้มีกิจกรรมและการกระทำที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่
พระปฏิมาของพระองค์ประทับบนคชสารเผือก ๖ งา หมายถึงพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพละกำลังมาก
เหมือนช้างสาร สามารถบรรทุกนำพาสรรพสัตว์ให้ข้ามห้วงทะเลแห่งสังสารวัฏได้คราวละมากๆ
และ ๖ งานั้นหมายถึงบารมี ๖ ประการของพระโพธิสัตว์ที่เป็นเครื่องยังให้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
และช้างเผือกนั้น หมายถึงความเป็นสัตว์ประเสริฐหายากและเป็นสิ่งมงคล
ภาพศิลปะโบราณจะวาดคชสารที่ประทับนี้มี ๗ ขา ซึ่ง
หมายถึงตอนพระพุทธประสูติ ทรงก้าวเดิน ๗ ก้าว แล้วบันลือสิงหนาทอันยิ่งใหญ่ว่า
“ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในจักรวาล”
ซึ่งถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่นก็มิอาจทำได้เช่นนี้ หรืออาจเปรียบช้างนี้ได้กับ
มหายานที่สามารถนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ทีละมากๆ
ทางธิเบตให้พระองค์ทรงถือวัชราวุธในพระหัตถ์ขวา และทรงระฆังวัชระที่พระหัตถ์ซ้าย
ในนามของ“พระวัชรสัตว์” ที่แปลว่า สัตว์ผู้มีความแข็งแกร่งประดุจเพชร
ซึ่งภายในสรรพสัตว์ทั้งปวงก็มีความแข็งแกร่งประการนี้อยู่ หรือก็คือพุทธภาวะนั้นเอง
ที่มา : ภิกษุจีนวิศวภัทร (沙門聖傑 )